Review: Transistor สุดยอดงานศิลป์ในรูปแบบวีดิโอเกม
Transistor เกมจากค่าย SuperGiant Games ที่การกลับมาครั้งนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นการอัพเกรดฝีมือแบบก้าวกระโดดจากการที่เคยสร้าง Bastion ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ ผมจึงไม่รอช้าที่จะเขียนรีวิวบรรยายความรู้สึกระหว่างเล่นตั้งแต่ต้นจนจบเกมกับระยะเวลาในการเล่นประมาณ 11 ชั่วโมงว่าเป็นอย่างไรบ้าง เชิญอ่านครับ
เกม Transistor สร้างความประทับใจต่อผมตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าเกมเพราะการเข้าเกมนั้นจะไม่ผ่านเมนูใดๆทั้งสิ้น เกมจะพาเราสู่โลกแห่ง Transistor โดยทันทีพร้อมกับการเล่าเรื่องของตัวละครนักร้องสาวเสียงหายนามว่า Red ที่รู้สึกตัวอีกทีก็มาเจอศพชายแปลกหน้าพร้อมกับดาบปริศนาพูดได้ที่ชื่อว่า Transistor แบบเดียวกับชื่อเกม เป้าหมายของทั้งสองคือการออกจากโลกแห่งนี้โดยปริศนาจะค่อยเปิดเผยทีละน้อยระหว่างเล่นแบบประติดประต่อกัน ซึ่งตรงนี้ก็ไม่แปลกอะไรมากสำหรับการเล่าเรื่องลักษณะนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสมาโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเรื่องราวภายในเกมรู้สึกโดนตัดจบให้รวบรัดจนเกินไปอีกทั้งเดาเหตุการณ์ได้ง่ายแบบไม่น่าเชื่อ ใครที่หวังจะเอาความรู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ภายในเกมอาจรู้สึกผิดหวังกันนิดๆเพราะช่วงที่ทำให้เราฟินและตื่นเต้นส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของเกมเท่านั้น แล้วอะไรคือสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้กันล่ะ?
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือรูปแบบการเล่นของ Transistor ที่นำเสนอแตกต่างไปจากเกมอื่นคือเรื่องของระบบการต่อสู้ อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าเกมเป็นรูปแบบ Hack n Slash จริงอยู่ที่ว่าเกมอยู่ในพื้นฐานของ Action RPG ถึงกระนั้นเกมจะเน้นไปการต่อสู้ลักษณะการเล่นเป็นเทิร์นและหลบหลังสิ่งกีดขวางเสียมากกว่าแม้ตัวละครของเราจะสามารถใช้ความสามารถของดาบแบบเรียลไทม์ได้ก็ตามที เพราะจุดเด่นที่ผมกำลังจะบอกคือความสามารถที่เรียกว่า Turn ที่ผู้เล่นจะเห็นฉากของเกมถูกหยุดไว้เหมือนหยุดเวลาแต่ในขณะนั้นเราสามารถออกคำสั่งตัวละครกำหนดท่าการโจมตีหรือวางแผนได้ทันท่วงที เมื่อเรากดปิดหยุดเวลาตัวละครของเราก็จะออกท่วงท่าความสามรถตามที่เราได้ออกคำสั่งไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นอะไรที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากถึงแม้ผมจะเคยเห็นลูกเล่นลักษณะนี้ในเกมอื่นมาแล้วก็ตามที แต่ด้วยอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ทำได้ธรรมชาติ การที่เราสามารถพลิกแพลงการต่อสู้ได้อย่างอิสระ มันเลยเกิดอารมณ์ความรู้สึกว่าเกมนี้มัน ‘น่าทึ่ง’
ด้วยเกมเพลย์ในลักษณะเล่นเป็นเทิร์นผสมเข้ากับเรียลไทม์ทำให้สิ่งที่มีบทบาทเป็นอย่างมากคือเรื่องสกิลความสามารถภายในเกมที่เราจะได้มาระหว่างการเล่นและตอนเลเวลตัวละครเพิ่มขึ้น สกิลความสามารถภายในเกม Transistor นอกจากจะนำเสนอสกิลรูปแบบบ้านๆตั้งแต่การโจมตีระยะประชิด การโจมตีระยะไกล การโจมตีแบบพื้นที่กว้าง การออกสกิลท่วงท่าเท่ๆ สิ่งที่ทำให้เกมนี้สนุกขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อคือรูปแบบการผสมสกิลของเกมครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆให้เข้าใจคือ [สกิล A - ความสามารถฟันศัตรูแบบหนักหน่วงในระยะประชิด] , [สกิล B - โจมตีด้วยกระแสไฟฟ้าเป็นวงกว้าง] โอเคว่าเมื่อใช้สองสกิลแยกกันก็จะเห็นความสามารถตามที่ผมอธิบาย แต่กรณีผมนำสกิล B ไปผสมเข้ากับสกิล A ให้กลายเป็นสกิลเดียว ความสามารถของสกิล A ก็จะมีเอฟเฟคเพิ่มขึ้นเช่นว่าโจมตีแล้วศัตรูก็จะติดอาการไฟช็อตอะไรก็ว่ากันไป กลับกันหากนำ A ไปผสมใส่ B เอฟเฟคก็อาจเป็นโจมตีเป็นไฟฟ้าพร้อมกับอาการติดสตั้น พอนึกออกไหม? ซึ่งแต่ละสกิลความสามารถนั้นสามารถนำสกิลอื่นเข้ามาผสมได้สูงสุด 2 สกิล ลองคิดเล่นๆ ภายในเกมมีกสิลหลักมากกว่า 15 สกิลความสามารถ หากเราลองเอาสกิลความสามารถเหล่านั้นผสมไปมาคงได้สกิลความสามารถมากขึ้นเป็นทวีคูณ(เท่าไหร่ไม่ทราบคณิตติด F) ว่ากันง่ายๆก็คือแต่ละสกิลมีเอฟเฟคที่แบ่งเป็นเป็น 3 แบบขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ซึ่งมีการนำไปใช้เป็นสกิลโจมตีหลัก การนำไปผสมเข้ากับสกิลอื่นเป็นความสามารถเสริม และนำสกิลนั้นเป็นความสามารถแบบ passive ก็ได้เช่นกัน ด้วยไอเดียเรื่องสกิลที่ค่อนข้างสดใหม่จึงทำให้ผมรู้สึกสนุกไปกับการผสมผสานสกิลว่ามันจะออกมาเป็นรูปแบบไหนและผสมแบบไหนถึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ตรงนี้จะทำให้ผู้เล่นแต่ละคนมีการออกแบบสกิลที่แตกต่างกันไป หมายความว่าการนำเกมกลับมาเล่นอีกครั้งก็จะมีลักษณะการเล่นที่สดใหม่กว่าเดิมเพราะจะเป็นโหมดลักษณะ New game+ ที่ผู้เล่นยังคงมีความสามารถเดิมอยู่แต่ได้เล่นใหม่ตั้งแต่เริ่มกับความยากที่ท้าทายกว่าเดิม ถือเป็นสิ่งที่ทางทีมพัฒนาทำการบ้านมาดีในเรื่องของ Replayability(นำเกมกลับมาเล่นอีกครั้ง)
จากที่ผมกล่าวมาด้วยเกมเพลย์แบบวางแผนในรูปแบบเทิร์นเพื่อใช้สกิลความสามารถกำหนดการโจมตีใส่ศัตรู ต้องขอชมทีม SuperGiant Games ว่าทำให้ผู้รู้สึกสนุกไปกับการเล่นเกมตั้งแต่ต้นจนจบในแง่ของการผสมสกิลให้เข้ากับสถานการณ์การต่อสู้กับศัตรูที่ได้เจอ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ชูโรงเป็นตัวช่วยสำคัญให้ผู้เล่นได้รู้สึกติดหนึบขณะเล่นเกมคืองานศิลป์ของเกมสไตล์ Cyberpunk แบบเรียบๆพร้อมกับการวางแบบลงสีสดตามสไตล์ค่ายนี้ที่ทำออกมาได้สวยงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งระหว่างเล่นเราอาจเจอตู้สำหรับตอบแบบสอบถาม ร้านอาหารแวะทานข้าว เข้าห้องน้ำ บางครั้งอาจมีตัดเข้าฉากคัตซีนสวยๆ ถึงแม้ส่วนเหล่านี้อาจไม่มีอะไรสำคัญต่อเนื้อหาของเกมหลัก แต่สำหรับผมแล้วจุดเล็กเหล่านี้เป็นส่วนช่วยเติมเต็มอารมณ์ของเกมและความผูกพันธ์ต่อตัว Red ตัวละครหลักได้ดีเลยล่ะ อย่างลูกเล่นจุกจิกจำพวกการยืนฮัมเพลง(มีปุ่มให้กด) การโยนดาบไปกลางอากาศและกระโดดหมุนตัวรับ ต้องบอกเลยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไรต่อการเล่นเกมและระหว่างการต่อสู้อีกเช่นกัน แต่ผมดันชอบกดอยู่บ่อยๆเพราะมีความรู้สึกว่า Red คงเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและมีเสียงที่ไพเราะมาก ถือเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีเลยว่าตัวผู้เล่นจะต้องค่อยๆตกหลุมรัก Red ไม่ต่างจากดาบคู่ใจ Transistor(ชื่อดาบ) ที่เราจะเห็นมันพล่ามบอกรักและเป็นห่วง Red ตลอดทั้งเกมจึงทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ของตัวละครสองตัวนี้ตามลำดับระหว่างเล่นเกม
สิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือดนตรีประกอบขณะเล่นเกม ด้วยการที่เกมก่อนหน้านี้ของค่าย SuperGiant Games อย่างเกม Bastion ได้เสียงตอบรับดีมากๆโดยเฉพาะเรื่องดนตรีประกอบ ไม่แปลกใจนักที่ทำไมหลายคนตั้งความหวังไว้กับเกม Transistor ว่าจะต้องออกมาดี ซึ่งผมเองหลังจากที่ได้เล่นก็ต้องรับประกันเลยว่าเพลงประกอบระหว่างเล่นของเกมนี้ทำเอาเพลินและรู้สึกกลมกลืน เพราะเพลงประกอบจะเปลี่ยนไปแปลงไปตามสถานการณ์ขณะเล่นไม่ว่าจะเป็นตอนเรียลไทม์ที่เป็นดนตรีเร่งเร้า พอเริ่มกดใช้ Turn จะเป็นการฮัมเพลงช้าๆและมีอยู่คัตซีนหนึ่งที่ทำให้ผมตกหลุมรัก OST ของเกมนี้ไปโดยปริยายอย่างเช่นเพลง We All Become ลองรับฟังกันดูด้านล่างนี้ครับ
ถึงแม้ผมจะชื่นชมในเรื่องของเกมเพลย์ของ Transistor แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงของเกมนั่นก็คือเรื่องของ ‘บอส’ ภายในเกม ไม่ใช่เรื่องของการออกแบบดีไซน์หรือการที่มันง่ายจนเกินไป แต่คือเรื่องของจำนวนที่ต้องบอกเลยว่ามีน้อยเอามากๆหากเทียบกับเวลาเฉลี่ยในการเล่น ผมมีความประทับใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้เจอบอสตัวแรกของเกมและได้สู้จนจบ ซึ่งถือว่าแทบจะเป็นความประทับใจเดียวในเรื่องของบอสภายในเกมก็ว่าได้ สิ่งที่ผู้เล่นจะได้เจอคือศัตรูมากหน้าหลายตาหลากรูปแบบเสียมากกว่า ตรงนี้ผมเข้าใจว่าด้วยเนื้อเรื่องของเกมที่ดูรวบรัดจึงทำให้เรื่องของบอสดูมีข้อจำกัดไปในตัวนั่นเอง
สุดยอดงานศิลป์ในรูปแบบวีดิโอเกมที่เกมเมอร์ประเภทติสท์แตกจะรู้สึกดื่มด่ำไปกับมัน
สรุปกันตรงนี้เลยว่า Transistor เป็นอีกหนึ่งเกมยอดเยี่ยมที่นำเสนอผู้เล่นให้ได้เสพทั้งความแปลกใหม่ของระบบเกมเพลย์และงานศิลป์ไปพร้อมๆกัน แม้จะมีบางจุดที่ยังดูบกพร่องไปบ้างแต่ถือว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของค่าย SuperGiant Games ที่สามารถลบความจำเจในเรื่องของเกมเพลย์แบบเดิมๆอย่าง Bastion ซึ่งอย่างน้อย Transistor ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกง่วงนอนขณะเล่นล่ะนะ หากอวยแบบเวอร์หน่อยผมคงยกให้เป็นสุดยอดงานศิลป์ในรูปแบบวีดิโอเกมที่เกมเมอร์ประเภทติสท์แตกจะรู้สึกดื่มด่ำไปกับมัน …ผ่าน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น